การลงทุนในหุ้นสามารถสร้างความมั่งคั่งได้จริงหรือ? เป็นคำถามที่หลายๆคนคงสงสัย โดยเฉพาะ อย่างยิ่งในเวลานี้ที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนอย่างมาก ผมเชื่อว่าคนที่มีฐานะปานกลางในสังคมไทย ส่วนใหญ่น่าจะเคยมีประสบการณ์การลงทุนในหุ้น แต่มีหลายคนเลิกสนใจการลงทุนเมื่อเจอวิกฤตตลาดหุ้น จนมูลค่าของพอร์ตลดลงอย่างน่าใจหาย ทำให้หลายคนขายหุ้นล้างพอร์ตไม่หันหน้ากลับมาลงทุนอีก หลายคนลงทุนในหุ้นเหมือนเป็นรายได้เสริม ซื้อๆขายๆในระยะสั้น ได้เงินมาเลี้ยงเพื่อนบ้าง ซื้อมือถือใหม่บ้าง แต่ไม่กล้าที่จะลงทุนแบบมีนัยยะสำคัญ มีบางคนอ้างว่านักลงทุนที่ประสบความสำเร็จนั้นส่วนใหญ่มีการศึกษาสูง เป็นคนเคยทำงานในแวดวงการเงินบ้าง รู้ข้อมูลวงในบ้าง จึงประสบความ สำเร็จ คนธรรมดาไม่ได้เรียนสูงและทำงานเป็นลูกจ้างคงไม่มีวัน ในบทความนี้ผมของยกเรื่องจริง ของชายธรรมดา นามว่า Ronald Read มาเล่าสู่กันฟัง
Ronald Read หลังจากรับใช้ชาติด้วยการไปรบในสงครามโลกครั้งที่สอง เขากลับมาทำงานเป็น เด็กปั๊มที่รัฐ Vermont จนเกษียณ หลังเกษียณเขาทนอยู่เฉยๆไม่ได้ เลยไปสมัครเป็นพนักงาน ทำความสะอาดที่ห้างสรรพสินค้า JC Penny ชายผู้ใช้ชีวิตธรรมดา ขับรถโตโยต้ามือสองคันเล็กๆ ใส่เสื้อผ้าเก่าๆ กลายเป็นข่าวใหญ่ในอเมริกาเมื่อเขาเสียชีวิตลงในปีที่แล้ว พร้อมพินัยกรรมบริจาคเงิน ราว 4.5 ล้านเหรียญให้กับโรงพยาบาล และ อีก 1.5 ล้านเหรียญให้กับห้องสมุด จากสินทรัพย์รวม ที่เขามีอยู่ทั้งหมดราว 8 ล้านเหรียญ ผู้คนต่างสงสัยว่าเขามีเงินขนาดนี้ได้อย่างไร? แม้แต่เพื่อนและ ญาติต่างก็งงไปตามๆกัน หลังจากเซฟที่เก็บสินทรัพย์ถูกไข ความลับก็ถูกเฉลยหลังจากที่ทุกคนพบว่า Ronald Read มีใบหุ้นของบริษัทชั้นนำของอเมริกามัดรวมกันอยู่หนาราว 5 นิ้ว
หุ้นหลักๆ ที่ Read ถือในพอร์ตเช่น ธนาคาร Well-Fargo, P&G, Colgate-Palmolive, American Express และ ผู้ผลิตเนยถั่ว J.M. Smucker หุ้นที่เขาถือมีลักษณะใกล้เคียงกันคือ เป็นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวันของเขา และเขาถือหุ้นเหล่านั้นมายาวนาน การที่เขาถือเป็น ใบหุ้นแสดงว่า หากเขาต้องการขายหุ้น เขาต้องคิดมาอย่างดีแล้ว เพราะกระบวนการทางด้านเอกสาร จะยุ่งยากกว่าการฝากหุ้นไว้กับโบรกเกอร์ ดังนั้นการขายหุ้นออกไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ จึงเป็นไป ได้ยาก นอกจากนั้นมีการวิเคราะห์ว่า หุ้นที่เขาถือนั้นส่วนใหญ่ให้เงินปันผล และเขาก็จะเอาเงินปันผลที่ได้รับนั้นกลับไปซื้อหุ้นเพิ่มอีกทำให้ผลตอบแทนที่ได้ทบต้นเร็วขึ้นไปอีก
หลังกลายเป็นข่าวใหญ่ มีการศึกษาชีวิตเขาอย่างละเอียดและพบว่า การเลือกหุ้นของ Read นั้นไม่ได้ เลือกแบบเสี่ยงดวงหรือตามแห่ แต่เขามีการศึกษาเรื่องการลงทุนมาอย่างดี เขาอ่านหนังสือพิมพ์ Wall Street Journal และ วารสารการลงทุน Barron เป็นประจำ นอกจากนั้นเขายังชอบไปค้นคว้าหาความรู้เรื่องการลงทุนเพิ่มเติมจากการอ่านหนังสือของห้องสมุด นอกจากนั้นเขายังปรึกษาเรื่องการลงทุนกับเพื่อนบ้านของเขาซึ่งทำงานเป็นที่ปรึกษาทางการเงินอยู่ที่ธนาคาร Well-Fargo
Chris Hogan ผู้เชี่ยวชาญทางการเงินส่วนบุคคลได้ตอบ CNBC ว่าคนธรรมดาสามารถบรรลุ เป้าหมายทางการออมได้หากเขามุ่งมั่นเอาจริง และใช้ชีวิตไม่ฟุ้งเฟ้อ หากออมเดือนละ 300 เหรียญ (ราวๆ 10,500 บาทต่อเดือน) แล้วนำไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนทบต้น 8% ในเวลา 65 ปี ทุกคนก็สามารถมีเงิน 8 ล้านเหรียญเหมือน Ronald Readได้ เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า การเริ่มออม ตั้งแต่อายุยังน้อย, การทำผลตอบแทนได้อย่างสม่ำเสมอ และ การมีอายุยืนยาวจะเป็นตัวช่วยการสร้าง ความมั่งคั่งได้อย่างดี
ในระบบธุรกิจทั่วไป คนออมเงินเอาเงินไปฝากธนาคารได้ผลตอบแทนราวๆ 2% ธนาคารเอาเงิน ไปปล่อยกู้ให้กับเจ้าของธุรกิจได้ดอกเบี้ย 6%-8% นั่นหมายความว่าการทำธุรกิจนั้นควรจะได้ ผลตอบแทนมากกว่าดอกเบี้ยเงินกู้ มิฉะนั้นคงไม่มีใครมากู้ธนาคาร แต่เราต้องรู้จักเลือกธุรกิจให้ดี เพราะบางธุรกิจก็ไปไม่รอด จึงไม่น่าแปลกใจว่า Ronald Read สามารถสร้างความมั่งคั่งได้ แม้เขาจะไม่ได้เรียนสูง ไม่มีข้อมูลวงใน ไม่มีเส้นสายใดๆ จุดสำคัญในการลงทุนสำหรับบุคคลทั่วไป คือต้องแยกให้ออกว่า ธุรกิจไหนเหมาะสำหรับการลงทุนในระยะยาว? บริษัทที่มีความสามารถ ในการแข่งขันมีลักษณะเป็นอย่างไร? เมื่อท่านเลือกได้ดีแล้ว ใล่เงินออมลงไปพอสมควรแล้ว ที่เหลือก็แค่รอให้เครื่องจักรแห่งความมั่งคั่งเขาเดินเครื่องต่อไปเอง