มองตลาดหุ้นแบบ VI

โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

เมื่อศึกษาการลงทุนแบบ Value Investment มากขึ้นเรื่อย ๆ คนที่เป็น VI จำนวนไม่น้อย อาจจะได้ความรู้สึกว่า การเป็นนักลงทุนแบบ VI

เราจะไม่สนใจภาวะตลาดหุ้น สิ่งที่เราสนใจเพียงอย่างเดียว ก็คือ ตัวหุ้นหรือบริษัทจดทะเบียน ถ้าหุ้นตัวนั้นมีมูลค่าที่แท้จริง หรือ Intrinsic Value สูงกว่าราคาหุ้น และมีส่วนต่าง หรือ  Margin of Safety สูงพอ เราก็ซื้อหุ้น ภาวะเศรษฐกิจ หรือภาวะตลาดที่วัดโดยดัชนีตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไรเราไม่สน เหตุผลก็เพราะว่าเราไม่สามารถคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจ หรือตลาดหุ้นได้ เหนือสิ่งอื่นใด เราไม่ได้ซื้อตลาด เราซื้อตัวหุ้น นั่นก็คือ แนวคิดและปรัชญาของ VI แต่นี่เป็นเรื่องจริงหรือพูดกันแบบเท่ๆ

ในความเห็นของผม เรื่องของภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ผมคิดว่า VI จะต้องสนใจ เพียงแต่ว่า ความสนใจนั้น จะเป็นประเด็นใหญ่ๆ และกว้างๆ และโดยทั่วไปแล้วมักไม่เป็นประเด็นที่จะทำให้เราต้องซื้อขายหุ้น เช่น ถ้ามีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในปีนี้ หรือปีหน้าจะโต 5% หรือ 4% หรือ 6% หรือแม้แต่ 3% ซึ่งแสดงถึงความตกต่ำทางเศรษฐกิจ ผมก็ไม่เห็นจำเป็นว่า จะต้องขายหุ้น หรือปรับพอร์ตอะไร เนื่องจากข้อมูลหรือความเห็นแบบนี้ และนี่ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ “ปรมาจารย์ VI” ทั้งหลายสอนว่า เราไม่จำเป็นต้องสนใจภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจการเงินและตลาดหุ้น

เวลาที่มองตลาด ผมสนใจอะไร สิ่งที่ผมสนใจ ก็คือ ภาวะแวดล้อมที่เป็นเรื่องของ “Value” ผมอยากรู้ว่าภาวะตลาดโดยรวมนั้นเอื้ออำนวยต่อการลงทุนแบบ Value Investment มากน้อยแค่ไหน นั่นก็คือ ถ้าหุ้นส่วนใหญ่มีราคาค่อนข้างถูก โอกาสที่ผมจะได้หุ้นคุณภาพดีราคาถูกก็จะมีสูงขึ้น โดยที่ความเสี่ยงในการลงทุนในระยะยาวจะต่ำ ตรงกันข้าม ถ้าภาวะตลาดไม่เอื้ออำนวย หุ้นส่วนใหญ่ราคาแพงหรือไม่ถูกแล้ว โอกาสที่ผมจะได้หุ้นดีราคาถูกก็น้อยลง บางคนอาจจะบอกว่าไม่เกี่ยว เพราะตราบใดที่เราพบหุ้นคุณค่า และหุ้นมี Margin of Safety สูง อย่างไรเสียมันก็ต้องเป็นหุ้นคุณค่า และเราก็จะได้ผลตอบแทนที่ดีเสมอ แต่นี่เป็นเหตุผลที่ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า เรารู้จริงและมั่นใจเต็มร้อยว่า มูลค่าที่แท้จริงของหุ้นเป็นเท่าไร แต่ถ้าความเป็นจริง ก็คือ เราไม่รู้หรือคาดผิด ก็มีโอกาสที่เราจะขาดทุนได้ง่าย

ประเด็นของผม ก็คือ ในยามที่ตลาดหุ้นดีและภาวะทางเศรษฐกิจสดใส โอกาสที่เราจะวิเคราะห์หุ้นผิดพลาดจะมีมากกว่า เพราะ ในยามนั้น บริษัทธรรมดาบางแห่งอาจจะมีผลการดำเนินงานที่ดีเลิศ และราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปสูงลิ่ว จนทำให้เราเข้าใจผิดว่ามันเป็นซูเปอร์สต็อก ถ้าจะพูดไปมันก็คงคล้ายๆ กับคำกล่าวที่ว่า “ในยามที่ลมหนุนแรง แม้แต่ไก่งวงก็บินได้ และด้วยตัวที่ใหญ่โตและในทัศนวิสัยที่มืดมัว เราอาจจะคิดว่ามันเป็นพญาอินทรี”

ภาวะตลาดแบบไหนที่เป็นภาวะ “ในฝัน” ของ VI ลองมาดู “ช่วงทองของ VI” ครั้งแรกที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับกำเนิดแนวความคิด VI ในปี 1934 ซึ่งเป็นปีที่หนังสือ Securities Analysis ของเบน เกรแฮม ถูกตีพิมพ์ในตลาดหุ้นสหรัฐดู

“ตลาดหุ้นในช่วงนั้น มีราคาถูกมากจนกระทั่งผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงเกือบ 10% ต่อปี และมันยังสูงกว่า 6% ต่อปีกว่าหนึ่งทศวรรษหลังจากนั้น หุ้นเกือบทุกตัวมีราคาต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชี (ซึ่งคร่าวๆ ก็คือต่ำกว่าทรัพย์สินสุทธิทั้งหมดของบริษัท) และประมาณหนึ่งในสามของหุ้นทั้งหมดในตลาดมีราคาต่ำกว่า 1 ใน 3 ของมูลค่าหุ้นทางบัญชี (ถ้าจะเปรียบเทียบ ณ วันนี้ ราคาหุ้นเฉลี่ยของหุ้นในดัชนี S&P 500 ขายกันที่ประมาณ 2.2 เท่าของมูลค่าหุ้นทางบัญชี)”

หันกลับมาที่ตลาดหุ้นไทย  ในปี 2543 ที่เป็นปีวิกฤติของตลาดหุ้นไทยและแนวความคิดเรื่อง Value Investment เริ่มก่อตัวขึ้นส่วนหนึ่งจากหนังสือ “ตีแตก” ของผม  ดัชนีตลาดหุ้นตกต่ำลงเหลือเพียง 269 จุดในตอนสิ้นปี ส่งผลให้หุ้นมีราคาถูกมาก ราคาต่อมูลค่าทางบัญชีลดลงมาเหลือเพียงประมาณ 1.1 เท่า หุ้นจำนวนมาก ผมคิดว่ากว่าครึ่ง  มีราคาต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชี  ค่า PE เฉลี่ยของหุ้นที่ยังมีกำไรอยู่นั้นต่ำเพียงประมาณ 5.5 เท่า  และนี่ก็คือ ภาวะ “ตลาดหุ้นในฝันของ VI” ช่วงหนึ่งในตลาดหุ้นไทยเช่นเดียวกับภาวะตลาดหุ้นในปี 2551 ซึ่งเป็นช่วง “วิกฤติซับไพร์ม” ที่ดัชนีหุ้นลดลงถึงเกือบ 50% เหลือเพียง 450 จุด และหุ้นในตลาดส่วนใหญ่มีราคาถูกพอๆ กับช่วงปี 2543

เปรียบเทียบกับหุ้นในปัจจุบัน ดัชนีหุ้นได้ปรับตัวขึ้นมา 2 ปี และหุ้นขึ้นมากว่า 100% แล้ว ราคาหุ้นเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชีสูงเกือบ 2 เท่า ในขณะที่ค่า PE เท่ากับประมาณ 13-14 เท่า ซึ่งถือว่าราคาหุ้นโดยเฉลี่ยในตลาดไม่ถูกอีกต่อไป  ในสภาวะแบบนี้กอปรกับความนิยมในหุ้น VI ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้การหาหุ้นที่ยังถูก และมี Margin of Safety สูงหาได้ยากขึ้น หรือถ้าคิดว่ายังหาได้ไม่ยาก แต่น่าจะมีความเสี่ยงที่จะผิดพลาดได้มากกว่าในยามที่ตลาดหุ้น “เอื้ออำนวยต่อ VI” เช่นในปี 2543 และ 2551

คำถามสุดท้าย ก็คือ ถ้าเป็นเช่นนั้นเราจะทำอย่างไร จะขายหุ้นถือเงินสดหรือ และถ้ามีเงินสดเหลืออยู่จะไม่ลงทุนซื้อหุ้นหรือ คำตอบของผม ก็คือ ในภาวะที่ตลาดหุ้นไม่ได้เอื้ออำนวย แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นภัย หรืออันตรายต่อการลงทุนอย่างชัดเจนเช่นในปัจจุบัน ผมจะลงทุนอย่างระมัดระวังขึ้น การเลือกหุ้นอาจจะต้องเน้นกิจการที่มีความปลอดภัยของผลประกอบการสูงกว่าปกติ และไม่หวังผลเลิศ

เหนือสิ่งอื่นใด การลงทุนในสถานการณ์แบบนี้ผมจะไม่รีบร้อน บางทีผมอาจจะรอแบบใจเย็นๆ และแน่นอน ผมจะไม่ “ไล่หุ้น” หรือเล่นหุ้นที่กำลังร้อนแรง ผมคิดว่าหุ้นที่มีคนเล่นหรือซื้อขายกันมากๆ โดยเฉพาะที่คนซื้อขายเป็น VI ด้วยนั้น ราคาของมันคงไม่ถูกอีกต่อไป โอกาสที่มันจะกลายเป็นหุ้นที่มีราคาสูงกว่าพื้นฐานน่าจะมีมากกว่า และทั้งหมดนี้ ก็คือ คำตอบของคำถามที่ว่า  VI สนใจภาวะตลาดหุ้นหรือเปล่า