โดย นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์
สมัยผมเริ่มต้นลงทุนใหม่ๆ มีเพื่อนนักลงทุนคนหนึ่ง เจอหน้ากันทีไรต้องถามผมทุกทีว่า ผมถือตัวไหนอยู่
ผมสังเกตว่า เขาไม่ได้ถามผมคนเดียว แต่เขาถามทุกคนที่เขารู้ว่าเล่นหุ้นอยู่
ผมมารู้ทีหลังว่า เขาจะไม่กล้าซื้อหุ้นที่ไม่มีคนรอบข้างคนไหนถืออยู่ด้วยเป็นอันขาด ในทางตรงกันข้าม ถ้าเขาพบว่า หุ้น XYZ เป็นหุ้นที่มีคนรอบข้างหลายคนกำลังถืออยู่ เขาจะรีบเข้าไปถือ XYZ ทันที
จากนั้นทุกคนที่ถือ XYZ จะโดนเพื่อนของผมโทรเช็คบ่อยๆ ทุกครั้งที่ตลาดปรับตัวลงแรงๆ เขาจะรีบโทรมาทันทีเพื่อถามว่ายังถือ XYZ อยู่หรือไม่
จนตอนหลังเวลาตลาดลงแรงทีไร ผมลองเดาเล่นๆ ว่าประเดี๋ยวคงกรี๊งกร๊างมาแน่ๆ ก็ปรากฏว่าเป็นจริงทุกที แต่ไม่ว่าผมจะอธิบายเหตุผลที่ยาวเป็นหางว่าวแค่ไหนว่า ทำไมผมจึงยังถืออยู่ หรือทำไมผมจึงขายไปแล้ว คำอธิบายเหล่านั้นก็ไม่มีผลอะไรทั้งสิ้น เพราะสุดท้ายแล้ว ถ้าผมบอกว่าผมขายไปแล้ว เขาก็จะขายด้วย แต่ผมยังถืออยู่ เขาก็จะถือต่อ (แต่ก็ไม่แน่เสมอไป เพราะถ้าเขาโทรถามคนอื่นแล้วคนอื่นขายเป็นส่วนใหญ่ เขาก็จะขายอยู่ดี)
ผมว่าลึกๆ แล้วทุกคนมีอะไรบางอย่างคล้ายๆกับเพื่อนของผมคนนี้แหละครับ แต่อาจจะไม่มากขนาดนี้
ในเวลาที่คนเราต้องเผชิญความไม่แน่นอน เรามักรู้สึกอุ่นใจมากกว่า ถ้าได้รู้ว่า ยังมีคนอีกหลายคนที่ลงเรือลำเดียวกับเรา
เราเกลียดที่สุดหากต้องจมน้ำโดยที่พบว่า มีเรือของเราเพียงลำเดียวเท่านั้นที่จม ส่วนเรือลำอื่นๆ ยังลอยอยู่ครบ “ทุกลำ” เราเกลียดสายตาของทุกคนที่จับจ้องมองเราจมน้ำไปอย่างช้าๆ ด้วยความเห็นใจแต่ไม่รู้จะช่วยยังไง เราเกลียดตัวเองที่ตกข่าว และเมื่อเราจมน้ำเสร็จแล้ว พวกเขาก็พา”กัน”แล่นเรือของพวกเขามุ่งหน้าต่อไป ทิ้งให้ร่างไร้วิญญาณของเราจมสู่ก้นมหาสมุทร
การที่มีคนจำนวนมากถือหุ้นตัวนั้นไม่ได้ช่วยทำให้หุ้นตัวนั้นปลอดภัยขึ้น มันเป็นเพียงแค่”ความรู้สึก”ว่าปลอดภัยเท่านั้น ในความเป็นจริง คนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นจะขาดทุน ดังนั้นการเลือกถือแต่หุ้นที่มีคนถือมากๆ กลับทำให้มีโอกาสขาดทุนมากกว่า ฟองสบู่ในตลาดหุ้นก็เกิดจากการที่มนุษย์เราชอบทำอะไรตามคนส่วนใหญ่นี่แหละ
ถ้าเราติดนิสัยชอบหา “ความอุ่นใจ” จนปล่อยให้ความต้องการนี้ครอบงำพฤติกรรมการลงทุนทุกอย่างของเรา ในแต่ละวัน เราจะมัวแต่เสียเวลาไปกับการแสวงหาความอุ่นใจให้มากขึ้น
เวลาโทรไปถามนักวิเคราะห์ตามรายการวิทยุว่า “ติด XYZ อยู่ ควรถือต่อหรือขายดี?” แทนที่เราจะอยากได้คำแนะนำที่ตรงไปตรงมา เรากลับต้องการเพียงแค่ให้มีคนสักคนบอกเราว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงนะ Everything will be alright หุ้นของคุณป้าพื้นฐานดีอยู่”
นักวิเคราะห์คนไหนปลอบนักลงทุนเก่ง เราก็จะตามไปฟังเขาบ่อยๆ แต่ถ้านักวิเคราะห์พูดตรงไปตรงมา ทำให้เราใจเสีย เราก็จะพยายามหลีกเลี่ยงนักวิเคราะห์คนนั้น สุดท้ายแล้ว การแสวงหาแต่ความอุ่นใจจะทำให้เรากลายเป็นนักลงทุนที่ปฏิเสธการเผชิญหน้ากับความเป็นจริงทุกรูปแบบ
ถ้าเราสามารถลดความต้องการทางใจที่ไม่จำเป็นเหล่านี้ออกไปเสียบ้าง เราจะเป็นคนที่สามารถใช้เหตุผลได้มากขึ้น เมื่อที่ต้องตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว เราก็จะปรับตัวได้ดี เพราะเรากล้าที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ไม่ว่าความเป็นจริงนั้นจะทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดก็ตาม
It’s time to face the music!
‘Beware of the Lemming inside us’