การกลับมาเปิดสนามบินดอนเมืองเต็มรูปแบบสำหรับสายการบินต้นทุนต่ำ เพื่อลดความอัดแอการจราจรทางอากาศที่สนามบินสุวรรณภูมิส่งผลดีต่อการเดินทางทั้งภายในและระหว่างประเทศ ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่เกี่ยวข้องปรับตัวขึ้นตอบสนองต่อผลดีดังกล่าว เช่นเดียวกับดัชนีของตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวขึ้นเกือบ 30% ตั้งแต่ต้นปี ทำให้นึกถึงสัญญาณ “Fasten Seat Belt” หรือ “ให้รัดเข็มขัดนิรภัย” ที่กัปตันเตือนผู้โดยสารยามเครื่องบินกำลังจะบินผ่านสภาพอากาศที่แปรปรวน
เมื่อครั้งเข้าร่วมเสวนา “กลยุทธ์การลงทุนปี 2555” เดือนธันวาคมปีที่แล้ว ได้วิเคราะห์ถึงปัจจัยบวกที่สำคัญต่อการลงทุนซึ่งได้แก่ หนึ่ง การลดภาษีนิติบุคคลเป็น 23% ส่งผลดีต่อกำไรเพิ่มขึ้นเพราะภาระภาษีที่ลดลง สอง การเพิ่มขึ้นของค่าแรงและเงินเดือนปริญญาตรี เป็นการเพิ่มกำลังซื้อและการบริโภคโดยรวมแม้ค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการจะเพิ่มขึ้น สาม มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐ โครงการสร้างสาธารณูปโภค นโยบายรถคันแรกและบ้านแรก สี่ การประมูลและการลงทุนเครือข่ายคลื่น 3G ที่จะเกิดขึ้น ห้า การเคลื่อนย้ายเงินทุนต่างประเทศมายังประเทศที่กำลังพัฒนา และหก เงินลงทุนเพิ่มจากนักลงทุนใหม่เพื่อผลตอบแทนที่ดีกว่า ในขณะที่ปัจจัยลบที่สำคัญคือ ปัญหาเศรษฐกิจของยุโรปและอเมริกา และความไม่แน่นอนด้านการเมืองในประเทศ โดยสรุปก็คือ มีปัจจัยที่จะส่งผลบวกและผลดีต่อการลงทุนในปี 2555 มากกว่า
เมื่อตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 1,300 จุด พุ่งชนเป้าหมายที่บรรดาโบรกเกอร์และเหล่านักวิเคราะห์เคยให้ไว้ และต้องปรับเป็น 1,450-1,500 จุด ในอีก 6-12 เดือนข้างหน้า สัญญาณ Fasten Seat Belt จึงดังขึ้นพร้อมข้อสังเกตบางประการดังนี้
หนึ่ง รายชื่อหุ้นที่ติดอันดับการซื้อขายสูงสุด จากหุ้นมูลค่าตลาด (Market Cap.) สูงหลักแสนล้านบาท เช่นกลุ่มธนาคาร กลุ่มสื่อสาร กลุ่มพลังงาน เป็นหุ้นขนาดกลางมูลค่าตลาดหลักพันหรือหมื่นล้านบาทแทน นั่นคือ มีการซื้อขายในสัดส่วนที่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณหุ้นหมุนเวียน (free float) ของหุ้นนั้น นี่คือสัญญาณบ่งบอกถึงความไม่ปกติอย่างหนึ่ง
สอง ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มสูงขึ้น จากระดับสามหมื่นล้านบาทเป็นระดับสี่หมื่นล้านบาทต่อวัน แม้ด้วยสาเหตุหลายประการ แต่เริ่มมีคนรอบข้างพูดคุยเรื่องลงทุนหุ้นเยอะขึ้นและพร้อมรับความเสี่ยงมากขึ้นแม้ไม่เคยศึกษามามากนัก
สาม หุ้นขนาดเล็กและขนาดกลางมีการปรับตัวขึ้นสูงมาก โดยหุ้นบางตัวยังซื้อขายในระดับความถูกแพงเดียวกันกับหุ้นขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเดียวกันแม้มีศักยภาพโดยรวมด้อยกว่า
สี่ หุ้น ราคาหุ้นไอพีโอที่ซื้อขายวันแรก โดยปกติบริษัทต้องทำผลประกอบการให้โดดเด่นเพื่อตั้งราคาสูงสุดเมื่อเสนอขายให้ประชาชนทั่วไป จากปริมาณการซื้อขายและราคาที่สูงกว่าราคาเสนอขายอย่างมากในช่วงนี้ แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนพร้อมที่จะเข้ามาเก็งกำไรระยะสั้น มากกว่าพิจารณาซื้อขายจากปัจจัยพื้นฐาน หรือผลประกอบในอนาคต
ห้า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นอย่างมากและสูงสุดในโลก หากผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนไม่โดดเด่นต่อเนื่อง โอกาสที่หุ้นจะปรับตัวขึ้นแรงต่อเนื่องจนถึงปีหน้านั้นคงเป็นไปได้น้อย นอกจากนี้ นักลงทุนยังสามารถเลือกลงทุนในประเทศอื่นที่อาจให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดหุ้นไทยได้เช่นกัน
คำถามคือ ควรมีกลยุทธ์การลงทุนอย่างไรในภาวะปัจจุบัน คำตอบสำหรับผู้ที่มีเงินสดในมืออยู่มากคือ หนึ่ง ถือเงินสดต่อเพื่อรอการปรับตัวลงซึ่งไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร และสอง เลือกลงทุนในบริษัทที่มั่นคง มีผลประกอบการดีและยังจ่ายเงินปันผลสูงกว่าอัตราเงินเฟ้ออย่างสม่ำเสมอ แม้มีความเสี่ยงบ้างแต่ก็ไม่มากนัก เพราะหากตลาดปรับตัวลดลง อัตราเงินปันผลตอบแทนจะช่วยพยุงราคาหุ้นไม่ให้ตกมากนัก ขณะที่ยังมีโอกาสได้กำไรหากตลาดยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง สำหรับผู้ที่มีเงินสดน้อยกว่า10% ของพอร์ต หากหุ้นที่ถืออยู่เป็นกิจการที่ยอดเยี่ยมและยังมีผลประกอบการดีต่อเนื่อง ก็ไม่จำเป็นต้องขายหุ้นและใช้กลยุทธ์ Let profit run พร้อมกับ Fasten Seat Belt เพราะต้องเผชิญกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น และหากตลาดปรับตัวลงอย่างมาก ก็พิจารณานำเงินที่เหลือเข้าลงทุนในกิจการยอดเยี่ยมในราคาที่เหมาะสมต่อไป
“เราไม่สามารถทำนายราคาหุ้นว่าจะขึ้นหรือลงในระยะสั้นได้ แต่เราสามารถคาดการณ์ผลประกอบการของกิจการในระยะยาวได้” เป็นคำกล่าวที่ Value Investor ควรคำนึงถึงและปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ในยามที่ตลาดปรับตัวขึ้นมากและต้อง Fasten Seat Belt เช่นในปัจจุบันจะเป็นข้อพิสูจน์ได้อย่างดีว่า การเลือกเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นเกรดเอ จะรู้สึกอุ่นใจ กินอิ่ม นอนหลับมากกว่าการถือหุ้นเกรดบีหรือซี ที่ศักยภาพและคุณภาพด้อยกว่า ท่านผู้อ่านว่าจริงไหมครับ