สุนทรพจน์ของ Tim Cook (Apple CEO)

เป็นเกียรติและโอกาสอย่างมากที่ได้มาอยู่กับพวกคุณในวันนี้

ในการได้กลับมาในที่ๆรู้สึกเหมือนบ้าน….ที่ๆผมได้ค้นพบความทรงจำดีๆหลายอย่าง

ที่แห่งนี้มีความหมายกับผมมาก

การที่ได้มาอยู่ตรงนี้ เป็นในสิ่งที่ผมเป็นทุกวันนี้

เพราะว่าพ่อแม่ได้เสียสละมากเกินกว่าที่เขาควรจะทำ

เพราะอาจาร์ย เพื่อน คนคอยแนะนำ …ที่พวกเขาแคร์มากกว่าที่เขาควรเป็น

และเพราะ สตีฟ จ็อป และแอปเปิ้ล ที่ให้โอกาสผมทำงานสำคัญมาเป็นเวลากว่า 12 ปี

ในวันนี้ ผมจึงอยากจะแชร์ประสบการณ์ของตัวเอง ที่ผมได้เจอมา

รวมถึงเส้นทางชีวิตที่ผมเดินทางมา

การค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผม มาจากการตัดสินใจเพียงอย่างเดียว

คือการร่วมทำงานกับแอปเปิ้ล…การทำงานที่นี้ ไม่ได้เป็นแพลนชีวิตที่ผมขีดไว้

แต่กลับกลายเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของผม…..

ในความเป็นจริงแล้ว ยังมีการตัดสินใจอย่างอื่นอีกในชีวิตของผม

อย่างเช่น การตัดสินใจมา ออเบิล ….

ตอนที่ผมเรียนอยู่ มัธยมปลาย อาจาร์ยบางคนแนะนำให้ผมเรียนที่ ออเบิล

บ้างก็แนะนำให้เรียน มหาวิทยาลัยอัลบลามา …แต่ยังไงด็ตาม การตัดสินใจของผม ค่อนข้างจะชัดเจน

การตัดสินใจทำงานที่แอปเปิ้ลในปี 1998 เป็นอะไรที่ไม่ชัดเจนแต่แรก

มันคงจะยากหากจะให้พวกคุณจินตนาการถึงแอปเปิ้ลใน สิบกว่าปีที่แล้ว

แอปเปิ้ลในวันนั้นแตกต่างกับวันนี้อย่างสิ้นเชิง

ในปี 1998 แอปเปิ้ลไม่มี Mac หรือ IPAD หรือ แม้กระทั่ง IPOD

ในขณะที่บริษัทเริ่มผลิต Mac ยอดขายในขณะนั้นขาดทุนแทบทุกปีจนเกือบจะต้องปิดบริษัทไป

ไม่กี่เดือนก่อนหน้าที่ผมเข้ามาทำงานที่แอปเปิิ้ล ไมเคิล เดล CEO และเจ้าของบริษัท คอมพิวเตอร์เดล

ได้ตอบคำถามว่า เขาจะทำอย่างไรเพื่อแก้ไขปัญหาที่แอปเปิ้ลเจอ

เดล ตอบว่า เขาจะปิดบริษัท และคืนเงินแก่ผู้ถือหุ้น

ในการกล่าวประโยคนี้ ไมเคิล เดลทำให้เราทราบถึงความแตกต่าง

และความกล้าที่เขาพูดในสิ่งที่คนอื่นๆคิด

แอปเปิ้ลในวันนั้น ไม่เหมือนอย่างในวันนี้

ในตอนนั้น ผมยังทำงานให้กับ คอมแพค บริษัทคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ไม่เพียงแค่ว่าคอมแพคมีการทำงานที่ดีกว่าแอปเปิ้ล

แต่บริษัทแม่ก็ยังตั้งอยู่ที่แท็กซัส ใกล้กับ ออเบิล ฟุตบอล

หากใช้เหตุผลเพื่อตัดสินใจ …ผลประโยชน์สูงสุด และค่าใช้จ่าย คอมแพคดูเหมือนจะเป็นสถานที่ทำงานที่เหมาะสมที่สุดของผม

ทุกๆคนที่ผมรู้จัก รวมถึง CEO คนหนึ่งที่คอยให้คำปรึกษา

บอกกับผมว่า มันจะดูโง่มากหากผมลาออกจากคอมแพคเพื่อไปอยู่กับแอปเปิ้ล

ในการตัดสินใจทำงานกับแอปเปิ้ล

ผมต้องคิดให้ไกลกว่า การเป็นวิศวกร

วิศวะ มักจะสอนให้ตัดสินใจเป็นกระบวนการ ปราศจากอารมณ์

เมื่อถึงเวลาที่เราต้องตัดสินใจ เรามักจะคิดถึงต้นทุนและผลกำไร

ว่าทางไหนให้ผลลัพธ์เหล่านี้ดีกว่ากัน

แต่มันก็มีบางเวลาในชีวิตของเราที่การตัดใจแบบนั้น ไม่ใช้ทางที่ถูกเสมอไป

บางทีการเชื่อมั่นในสันชาติญาณและจิตวิญญาณของตัวเองดูเหมือนจะเป็นทางที่เหมาะสมที่สุด

การตัดสินใจโดยใช้สัญชาติญาณ คุณต้องทิ้งความคิดของการวางแผนชีวิตอย่างเป็นขั้นตอน

การรับรู้โดยสัญชาติญาณ มักจะเกิดขึ้นชั่วครู่ และถ้าหากคุณเปิดใจ และฟังสิ่งนี้

มันมีศักยภาพเพียงพอที่จะนำทางให้คุณเพื่อให้คุณตัดสินใจสิ่งที่ถูกที่สุดได้

ในวันนั้นของปี 1998 ผมได้ตัดสินใจฟังในสิ่งที่ผมเชื่อมั่น

ไม่ใช่เชื่อสมองด้านซ้ายของผม หรือแม้กระทั่ง เชื่อคนที่รู้จักผมดีที่สุด

มันยากที่จะตอบว่าทำไมผมต้องทำตามในสิ่งที่ผมเชื่อ

และจนถึงวันนี้ผมก็ยังตอบไม่ได้ แต่ผมใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที ในตอนที่ได้คุยกับสตีฟ จ๊อป

ผมอยากจะทิ้งเหตุผลทั้งหมดไปกับลม และร่วมงานกับแอปเปิ้ล

ความเชื่อของผมรู้ดีว่า การร่วมงานกับแอปเปิ้ลเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิต

ที่จะได้ทำงานกับอัจฉริยะที่สร้างสรรค์ที่สุด

และทีมที่สามารถทำให้บริษัทกลับมาเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอเมริกา

หากสัญชาติญาณของผมพ่ายแพ้ให้กับสมองซีกซ้ายของผมในวันนั้น

ผมก็ไม่แน่ใจว่าในวันนี้ผมจะไปอยู่ตรงไหน แต่มั่นใจว่าผมคงไม่ได้มายืนต่อหน้าพวกคุณในวันนี้

นี้เป็นบทเรียนที่น่าประหลาดใจ

ผมพยายามคิดย้อนไปถึงความรู้สึกที่ไม่มั่นใจว่าชีวิตจะเดินไปทางไหน

บางส่วนในตัวผมเองพยายามที่อยากจะมี แผนชีวิต 25 ปีเพื่อเป็นแนวทางให้กับชีวิตตัวเอง

ในขณะที่ผมเรียนอยู่ พวกเราได้ทำแบบฝึกหัด ให้ทำแผนชีวิต 25 ปี

ผมได้ค้นพบแผนของผมเอง ตอนอายุ 22 เพื่อที่จะเตรียมรับปริญญา

เอาเป็นว่า ในกระดาษสีเหลืองที่ผมเขียนลงไป มันแทบจะไม่มีความหมายเลย

ชีวิตมักไม่แน่นอน เหมือนลูกบอล

อย่าเข้าใจที่ผมพูดผิดไป การวางแผนชีวิตเป็นสิ่งที่ดี

แต่หากคุณเป็นเหมือนผมที่ชีวิตเหวี่ยงไปมาตลอดเวลา และชีวิตที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าคุณวางแผนไม่ได้ แต่คุณสามารถเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอได้

นักเบสบอลไม่มีทางรู้เลยว่าลูกบอลจะมาเมื่อไร แต่เขาก็ต้องเตรียมรับมือเสมอ
เพราะเขารู้ว่า มันต้องมาอย่างแน่นอน

คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่า สัญชาติญาณเป็นอะไรที่ขึ้นอยู่กับโชคชะตา และ โชค

แต่ที่ผมเห็นก็คือ การตัดสินใจโดยใช้สัญชาติญาณสามารถบอกคุณได้ว่า ประตูที่เปิดอยู่ คุณควรเดินเข้าไปในประตูบานไหน

แต่มันไม่ได้เตรียมให้คุณรับมือกับสิ่งที่อยู่หลังประตู

มีคำพูดหนึ่งที่ผมใช้เป็นคติประจำตัว อัปปราฮัม ลินคอน กล่าวไว้ว่า

“ เตรียมตัวให้พร้อม …และวันหนึ่งโอกาสจะมาหาเรา”

ในธุรกิจ ซึ่งก็เหมือนกับกีฬา สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ตัดสินชัยชนะ คือสิ่งที่เกิดก่อนการแข่งขัน

เราไม่สามารถควบคุมเวลาของโอกาสได้ แต่เราสามารถเตรียมความพร้อมได้

หลักความเชื่อของผมอีกอย่างคือ ผมเชื่อในการทำงาน- การทำงานหนัก

มีหลายๆอย่างสอนให้ผมรู้ว่า คนที่พยายามประสบความสำเร็จแต่ไม่ได้ทำงานหนักไปกับมัน

ท้ายสุดก็เหมือนกับการหลอกตัวเอง

ผมมีโอกาสที่ดีที่ได้ทำงานรอบๆคนเก่ง เราไม่เคยใช้ทางลัด เราสนใจทุกๆรายละเอียด เราคอยแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาด ถึงแม้ว่าบางทีมันจะทำให้ทางเดินยาวนานขึ้น

แต่นั้นก็คุ้มค่าในตอนสุดท้าย

เรายอมเสี่ยง โดยที่รู้ว่าบางทีความเสี่ยงอาจทำให้เราล้มเหลว

แต่หากปราศจากความล้มเหลว ความสำเร็จคงไม่เกิดขึ้น

เราจำคำพูดของ ไอสไตน์ ที่กล่าวว่า คนเสียสติมักจะทำสิ่งเดิมซ้ำไปซ้ำมา โดยที่คาดหวังผลลัพธ์ที่ต่างออกไป

เมื่อคุณเอามันมารวมกัน ผมได้เรียนรู้ว่า

ความเชื่อเป็นสิ่งจำเป็นในทุกๆสิ่งที่คุณทำ แต่หากปราศจากความพร้อมและการลงมือทำ ทุกอย่างก็ไม่มีความหมาย

และนี้ก็คือสิ่งที่ผมค้นพบเกี่ยวกับ ความเชื่อ,ความพร้อม, การทำงานหนัก

เชื่อในสัญชาติญาณของตัวเอง และทำงานให้หนักในทุกๆอย่างที่คุณทำเพื่อพิสูจน์ว่าความเชื่อของคุณถูกต้อง

และในบางครั้งเหตุผลก็ไม่ชนะทุกครั้ง

ผมเหลือบทเรียนสุดท้ายที่จะบอกพวกคุณ

ผมคิดว่ามันผิดพลาดหากพูดถึงความสำเร็จโดยที่ไม่ได้พูดถึงความล้มเหลว

บนเส้นทางของผม เจอกับความล้มเหลวหลายครั้ง ถึงแม้ว่าในวันนี้ผมพูดกับคุณถึงการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่ แต่ผมก็เจอกับความล้มเหลว

แต่หลังจากหลายไมล์บนเส้นทางของผม สุดท้ายแล้วมันก็จะผ่านไป

และทำให้คุณฉลาดขึ้น เข้มแข็งขึ้น

ดังนั้น ระบายสีให้ตัวเองเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นว่าคุณต้องการจะไปที่ไหน

เตรียมพร้อม และเชื่อมั่นในตัวเอง และอย่าเสียสมาธิให้กับหลุมบางหลุมในชีวิต

ขอแสดงความยินดีกับบัณฑิตปี 2010 ทุกคน

ขอให้ทุกคนมีความสุขกับเส้นทางที่คุณเลือก

และ ขอบคุณที่ให้ผมมีส่วนร่วมในวันนี้ ขอบคุณครับ