แนวโน้มใหญ่หรือ Megatrend ของโลกนั้น จะต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวที่ต่อเนื่องยาวนานอย่างน้อย 10 ปี ขึ้นไป และน่าจะต้องเป็นอย่างนั้นต่อไปอีกไม่น้อยกว่า 10 ปี และต่อไปนี้คือสิ่งที่ผมเห็น
Megatrend แรกที่ดำเนินมายาวนานน่าจะหลายสิบปีและจะดำเนินต่อไปอีกนานมากก็คือ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี 2 ด้านนั่นก็คือ เทคโนโลยีด้าน IT และการสื่อสารแบบเคลื่อนที่ กับเทคโนโลยีด้านชีวภาพหรือ Biotech นี่คือเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจนเราตามแทบไม่ทัน ด้านของ IT นั้น เราส่วนใหญ่อาจจะได้ยินได้เห็นและได้ใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย แต่ในด้านของเทคโนโลยีชีวภาพนั้น อาจจะมีคนไม่มากที่ได้สัมผัสกับมันโดยตรง อย่างไรก็ตาม ผลกระทบก็อาจจะมีมากพอ ๆ กับเรื่องของ IT เพราะหลายเรื่องเกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ ตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีเกี่ยวกับยาและการแพทย์ที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วจนทำให้การรักษาโรคที่ร้ายแรงในอดีต สามารถทำได้ดีขึ้นมากในปัจจุบันและต่อไปในอนาคตอันใกล้
Megatrend ที่สองก็คือเรื่องของ Wealth หรือความมั่งคั่งของคนในโลก นี่เป็นแนวโน้มที่ต่อเนื่องยาวนาน ในอดีตนั้น การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมักเกิดขึ้นในประเทศที่เจริญกว่า แต่ในปัจจุบันความมั่งคั่งมักเพิ่มขึ้นเร็วกว่าในประเทศกำลังพัฒนาโดยเฉพาะที่มีประชากรมากหรือมีทรัพยากรมาก ความมั่งคั่งที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้ธุรกิจเกี่ยวกับเงินซึ่งรวมถึงระบบธนาคารและการบริหารเงินและกองทุนรวมเติบโตต่อเนื่องระยะยาว และแน่นอน ส่งผลต่อราคาหุ้นโดยเฉพาะในประเทศที่มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
Megatrend ที่สามคือเรื่องของโครงสร้างอายุของประชากรในโลกที่เริ่มแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว อายุเฉลี่ยของประชากรโลกน่าจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะเด็กเกิดใหม่มีอัตราลดลงในขณะที่คนก็มีอายุยืนขึ้น โดยที่ประเทศไทยเองก็เป็นหนึ่งในประเทศเหล่านั้น ผลกระทบก็คือ ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพและคนสูงอายุน่าจะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ
Megatrend ที่สี่คือเรื่องที่ผมอยากเรียกว่าเป็น “การเพิ่มขึ้นของอิทธิพลของเอเซีย” นี่คือแนวโน้มใหญ่ที่ประเทศในเอเซียมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับส่วนอื่นของโลก ประกอบกับการที่มีประชากรจำนวนมาก ทำให้เอเชียมีบทบาทและความสำคัญสูงขึ้นอย่างมากในทุกด้าน ทั้งทางด้าน เศรษฐกิจ สังคม การเมือง และวัฒนธรรม ผลต่อประเทศไทยก็คือ เราจะมีการค้าและการลงทุนมากขึ้นเช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวที่จะมีมากขึ้นเนื่องจากไทยก็เป็นส่วนหนึ่งของประเทศที่อยู่ในศูนย์กลางของเอเซีย
Megatrend ที่ห้าก็คือ เรื่อง “ภาวะโลกร้อน” นี่คือแนวโน้มที่เพิ่งเกิดมาไม่นาน หรือน่าจะพูดว่าเราเพิ่งตระหนักมาไม่นานนัก แต่ผลกระทบนั้นอาจจะรุนแรงขนาดที่สามารถเปลี่ยนแปลงภูมิศาสตร์เศรษฐกิจของโลกได้ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นนั้น ผลกระทบก็อาจจะเป็นเรื่องของท้องถิ่นบางแห่งที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงของลมฟ้าอากาศซึ่งรวมถึงภาวะแห้งแล้ง พายุ หรือน้ำท่วม ที่อาจจะเกิดขึ้นมากกว่าปกติ และนี่ทำให้เกิดความเสี่ยงโดยเฉพาะในด้านของทรัพย์สินและการดำเนินธุรกิจ อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องยากที่จะบอกได้ชัดเจนว่าจะเกิดที่จุดไหนและเมื่อใด
Megatrend สุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือเรื่อง Globalization หรือโลกานุวัตร ซึ่งบางคนใช้คำว่า “โลกแบน” ความหมายก็คือ พรมแดนทางภูมิศาสตร์ของแต่ละประเทศและวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่นจะมีความหมายน้อยลงเรื่อย ๆ คนในแต่ละประเทศจะมีความคิด ค่านิยม และความเป็นอยู่คล้าย ๆ กันขึ้นอยู่กับฐานะและความมั่งคั่งมากกว่าเรื่องของวัฒนธรรมประจำชาติ นอกจากนั้น แต่ละประเทศจะไม่สามารถทำอะไรตามใจตนเองได้ทั้งหมดแต่จะต้องทำในสิ่งที่เป็นที่ยอมรับของสังคมโลกด้วย เช่นเดียวกัน การแข่งขันทางธุรกิจก็จะต้องเปิดกว้างขึ้นเรื่อย ๆ และต้องรวมไปถึงธุรกิจจากต่างประเทศทั่วโลก ผลกระทบก็คือ บริษัทที่มีความสามารถทางการแข่งขันสูงจะสามารถขยายตัวได้มากขึ้นมาก ในขณะที่บริษัทระดับรองหรืออ่อนแอจะอยู่ได้ยากขึ้น
โดยสรุปก็คือ ผมคิดว่าอุตสาหกรรมที่เป็น Megatrend และจะโตเร็วและโตไปอีกนานก็คือ อุตสาหกรรมไฮเทคที่เกี่ยวกับ IT และการสื่อสารในระบบเคลื่อนที่ และอุตสาหกรรมเกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการแพทย์และการให้บริการทางการแพทย์ ในอุตสาหกรรมอื่นนั้น ผมคิดว่าธุรกิจการเงินและการบริหารเงิน และการลงทุนในหุ้น น่าจะมีอนาคตสดใส เช่นเดียวกับการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคของประเทศในทวีปเอเซียที่ประชากรมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น ซึ่งการบริโภคนี้รวมถึงการท่องเที่ยวและการเดินทางข้ามประเทศที่จะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ผลกระทบจากการเปิดเสรีประเทศมากขึ้นจากผลของโลกานุวัตรจะทำให้กิจการที่เป็นผู้นำที่โดดเด่น โดดเด่นขึ้น ในขณะที่บริษัทระดับรองลำบากขึ้น และผลกระทบจากภาวะโลกร้อนนั้น จะทำให้ความเสี่ยงของธุรกิจสูงขึ้นจากภัยธรรมชาติในระยะสั้น
ผลกระทบของ Megatrend โลกนั้น แน่นอน รวมถึงประเทศไทย เพราะเราอยู่ในกระแสของโลกานุ วัตรด้วย ดังนั้น เราต้องนำ Trend ต่าง ๆ เหล่านั้นเข้ามาพิจารณา ในเรื่องของการลงทุน สิ่งที่สำคัญก็คือ เราต้องการลงทุนในหุ้นที่อยู่ในกระแสและหลีกเลี่ยงหุ้นที่สวนกระแส แต่การลงทุนกับหุ้นที่อยู่ใน Megatrend นั้นยังไม่เพียงพอ เหตุผลก็คือ กิจการที่อยู่ในกระแสนั้น บ่อยครั้งมีมากยิ่งกว่ากิจการที่ไม่อยู่ในกระแส การแข่งขันกันจึงรุนแรงและอาจทำให้บริษัทขาดทุนหรือล้มหายตายจากได้ง่าย ๆ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือกิจการที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี IT ที่เราเห็น “คนตาย” มากกว่า “คนอยู่” หุ้นหรือกิจการที่เราต้องการจริง ๆ ก็คือ เราต้องการบริษัทที่เป็น “ผู้ชนะ” ในอุตสาหกรรมที่อยู่ใน Megatrend และในราคาที่สมเหตุผล
ประเด็นสำคัญที่ตามมาก็คือ อะไรคือ “ราคาที่สมเหตุผล” นี่เป็นเรื่องยากหรืออาจจะยากยิ่งกว่าการกำหนดว่าบริษัทอยู่ใน Megatrend และเป็น “ผู้ชนะ” หรือไม่? เหตุผลก็คือ หุ้นที่อิงกับกระแสแนวโน้มใหญ่นั้น มักจะเติบโตไปได้ต่อเนื่องยาวนานตราบที่เขายังมีความสามารถสูงอยู่ อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ บริษัทที่ “กำลังชนะ” นั้น Profit Margin หรือกำไรต่อยอดขายมักจะมาทีหลัง ในขณะที่ช่วงแรก ๆ ของการเติบโต ผลกำไรจะไม่สูงมากเนื่องจากบริษัทจะเน้นไปที่การเพิ่มยอดขายมากกว่าที่จะทำกำไร ดังนั้น ในช่วงที่บริษัทยังโตเร็ว ผลกำไรอาจจะไม่สูงมาก นี่ทำให้ค่า PE อาจจะดูสูงและทำให้ราคาหุ้นดูไม่สมเหตุผลโดยเฉพาะในสายตาของ Value Investor ที่เน้นหุ้นถูกเป็นหลัก วิธีที่ดีกว่าก็คือ การดู “ศักยภาพ” ว่า บริษัทน่าจะสามารถเติบโตมียอดขายถึงระดับไหนและมันน่าจะมีกำไรเท่าไรเมื่อถึงจุดนั้น โดยกำไรนั้นจะต้องคำนวณจาก Profit Margin ที่เหมาะสม ซึ่งนั่นจะทำให้เราสามารถคำนวณหากำไรและราคาหุ้นที่เหมาะสมในอนาคตได้ จากนั้นจึงมาดูว่าราคาในปัจจุบันนั้นเหมาะสมหรือไม่